12/29/2555

สาเหตุที่ Facebook ถูกระงับ


สวัสดีคับผมบทความนี้เป็นบทความที่ทำให้ทุกคนนั้นแก้ไขปัญหาใน Facebook ได้ ว่าเรานะทำอะไรผิด และเรานั้นก็ไม่ควรทำ ยกตัวอย่างเช่น มีคนบอกว่า เพิ่มเพื่อนในเฟสบุ๊คไม่ได้ ผมนั้นยังเคยโดนเลย

เรา จะป้องกันไม่ให้ account ของเราถูกระงับได้ยังไงเราต้องมาดูเหตุผลหลักๆ ว่า facebook นั้นส่วนใหญ่จะระงับaccount ที่เข้าข่ายต่อไปนี้ครับ

1. มีภาพโป๊เปลือย : อย่า ถามผมว่าเจ้าหน้าที่เข้ามาเห็นได้ยังไง หรือว่าเค้าจะเอาภาพไปทำอะไรหลังจากที่ facebbokเราโดนระงับ แต่ที่แน่ๆ ถ้าคุณมีภาพหรือวีดีโอที่เข้าข่ายนี้ บรรจุอยู่ใน facebook ของคุณล่ะก็ คุณมีสิทธิ์ถูกระงับบัญชีได้ทุกเมื่อ โดยที่จะไม่มีการแจ้งเตือนเลยแม้แต่นิดเดียว

2. ภาษาหยาบคาย ไม่เหมาะสม : ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้น ถ้ามีคนเข้ามาเห็นคำพูดที่ไม่เหมาะสมของคุณ แล้วกดปุ่มreport แจ้งไปที่ facebook ว่าคุณมีการใช้งานในลักษณะนี้

3. โปรไฟล์เทียม : ถ้า คุณสร้างโปรไฟล์ขึ้นมาแฝงตัวเป็นบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคุณเอง ญาติพี่น้อง หรือแม้แต่บุคคลมีชื่อเสียง เมื่อมีคนรายงานไปทาง facebook คุณก็มีสิทธิ์ถูกระงับ account ได้เช่นกัน

4. ใช้ facebook พูดจาข่มขู่คนอื่น : ถึงจะเป็นแค่การพูดเล่นก็เถอะ หากมีการร้องเรียนไปยัง facebook บัญชีของคุณจะถูกระงับทันที

5. ใช้คำพูด หรือนำเสนอเนื้อหาที่แสดงความเกลียดชัง สร้างความแตกแยก : คน ไทยอาจจะเห็นเรื่องนี้ค่อนข้างบ่อยจนชินตาไปแล้ว กับการใช้ facebook เป็นพื้นที่ระบายอารมณ์ หรือแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการเมือง แน่นอนว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ แต่การใช้คำพูดที่รุนแรง ยุยง ปลุกปั่นนั้น จริงๆ แล้วที่ว่าเป็นการผิดนโยบายการใช้งานนะครับ facebook มีสิทธิ์ที่จะระงับ facebook ของคุณทันที หากมีคนร้องเรียนไปนะครับ เพราะฉะนั้นระมัดระวังการแสดงความคิดเห็นของคุณให้ดีๆ

6. ใช้ profile ผิดวัตถุประสงค์ : ตามนโยบายของ facebook นั้น Profile จะอนุญาตให้ใช้สำหรับการใช้งานส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ก็มีบ้างที่คนเอาหน้า profile ไปใช้งานเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ เช่นใช้เพื่อขายของ ประชาสัมพันธ์ธุรกิจ ซึ่งนับว่าเป็นการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ ถ้าถูกจับได้ก็อาจจะโดนระงับบัญชีได้ครับ

7. ปล่อยไวรัส : อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก หากถูกตรวจพบว่าคุณเป็นผู้ปล่อยไวรัส คุณมีสิทธิ์ถูกระงับ facebookทันทีเช่นกัน

8. Add เพื่อนเยอะเกินไป : อันนี้เป็นเคสที่เจอบ่อยที่สุดครับ โดยเฉพาะคนที่ต้องการ add เพื่อนเยอะๆ ไว้เล่นเกมส์ จะโดนระบบตรวจจับว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัย เพื่อความปลอดภัย แนะนำให้ add เพื่อนวันละไม่เกิน 20 คนครับ

9. ร่วม group หรือ page เยอะเกินไป : อาจจะไม่ค่อยพบกรณีนี้นัก แต่มีคำแนะนำว่า ไม่ควรจะเข้าร่วมกลุ่ม หรือ like page เกินวันละ 200 หน้า

10. โพสท์ข้อความ หรือ ส่งข้อความเยอะเกินไป : ไม่ ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม การโพสท์ข้อความหรือลิงค์ซ้ำๆ กันไปบน wall ของเพื่อนหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นจุดประสงค์เพื่อการประชาสัมพันธ์อะไรบางอย่างจริงๆ หรือจะเป็นการโพสท์ที่เกิดจากไวรัสแบบที่คุณไม่รู้ตัวนั้น ล้วนเป็นจุดที่ เสี่ยงและอาจทำให้ account ของคุณโดนระงับได้แบบไม่รู้ตัวทั้งนั้นครับ

(ใน กรณีที่คุณมีความจำเป็นจะต้องโพสท์ข้อความซ้ำๆ กันหลายครั้ง ขอแนะนำให้ดัดแปลงหรือปรับเปลี่ยนรูปประโยคในแต่ละข้อความซักเล็กน้อย ระบบตรวจสอบก็จะละเว้นและไม่นับว่าคุณส่งข้อความขยะ)

11. ผู้ใช้คนเดียวแต่มีโปรไฟล์หลายอัน : ถ้าคุณมีโปรไฟล์หลายอัน และทั้งหมดเป็นชื่อคนๆ เดียวกัน ข้อมูลเหมือนกัน account อันใดอันหนึ่งของคุณก็อาจจะถูกระงับได้เช่นกัน

ข้อความจาก GuDiuwza Babor 

12/03/2555

Internet คืออะไร

Internet คืออะไร
       อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์นานาชาติ ที่มีสายตรงเชื่อมต่อไปยังสถาบันหรือหน่วยงานต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทั่วโลก. ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ทางอีเมล์ สามารถสืบค้นข้อมูลและสารสนเทศ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้ อย่างไรก็ตาม มีผู้เปรียบเทียบว่า อินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนทางหลวงระหว่างประเทศ แต่ละประเทศจะต้องมีถนนเข้ามาเชื่อมต่อเข้าไปในประเทศ กล่าวคือ จะต้องมีเครือข่ายภายในรับช่วงต่ออีกทอดหนึ่ง (เช่น เครือข่ายภายในมหาวิทยาลัย, องค์กร หรือเครือข่ายของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) มิฉะนั้นก็จะใช้ไม่ได้ผล

ที่มาของ Internet
        อิน เทอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงการของ ARPAnet(Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503) และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมาค.ศ.1969(พ.ศ.2512) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อจาก ARPA เป็น DARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง 
และในปีค.ศ.1969(พ.ศ.2512)นี้เองที่ได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละ ชนิด จาก 4 แห่งเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก 

        ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ให้แก่ หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในInternet, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัคร ทั้งสิ้น
ค.ศ.1983(พ.ศ.2526) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตุได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform คุยกันรู้เรื่อง และสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง การกำหนด ชื่อโดเมน (Domain Name System) มีขึ้นเมื่อ ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) เพื่อสร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ 
เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บ http://www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ที่ http://www.thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของเว็บที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด เป็นต้น

DARPA ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบ internet เรื่อยมาจนถึง ค.ศ.1980(พ.ศ.2523) 
และได้ให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) 
เข้ามาดูแลแทนร่วม กับอีกหลายหน่วยงาน
ค.ศ.1991(พ.ศ.2534) ทิม เบอร์เนอร์ส ลี (Tim Berners-Lee) 
แห่งศูนย์วิจัย CERN ได้คิดค้นระบบไฮเปอร์เท็กซ์ขึ้น เว็บเบราวเซอร์ (Web Browser)
 ตัวแรกมีชื่อว่า http://www.(World Wide Web) แต่เว็บได้รับความนิยมอย่างจริงจัง 
เมื่อ ศูนย์วิจัย NCSA ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์เออร์แบน่าแชมเปญจ์ สหรัฐอเมริกา 
ได้คิดโปรแกรม MOSAIC (โมเสค) โดย Marc Andreessen ซึ่งเป็นเว็บเบราว์เซอร์ระบบกราฟฟิก 
หลังจากนั้นทีมงานที่ทำโมเสคก็ได้ออกไปเปิดบริษัทเน็ตสเคป 
(Browser Timelines : Mosaic 1993, IE 1995, Netscape 1994, Opera 1996, Macintosh IE 1996)
ในความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ Internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว 
ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ต่าง ๆ ผู้ติดสินว่าสิ่งไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรับ 
คือ ผู้ใช้ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้น และจะใช้ต่อไปหรือไม่เท่านั้น 
ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป 
เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก


ประโยชน์ของ Internet
1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic mail=E-mail)
เป็นการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยผู้ส่งจะต้อง
ส่งข้อความไปยังที่อยู่ของผู้รับ และแนบไฟล์ไปได้
2. เทลเน็ต(Telnet) การใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกล ๆ ได้ด้วยตนเอง
ช่น สามารถเรียกข้อมูลจากโรงเรียนมาทำที่บ้านได้
3. การโอนถ่ายข้อมูล(File Transfer Protocol ) ค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่องของเราได้
ทั้งข้อมูลประเภทตัวหนังสือ รูปภาพและเสียง
4. การสืบค้นข้อมูล (Gopher,Archie,World wide Web)
การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมาย
ใช้สืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทั่วโลกได้
5. การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น(Usenet)
เป็นการบริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเทอร์ เน็ตทั่วโลก
แสดงความคิดเห็นของตน โดยกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป(Newgroup)แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
6. การสื่อสารด้วยข้อความ (Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุย
โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ได้รับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง
การสนทนากันผ่านอินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน
แม้จะอยู่คนละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม
7. การซื้อขายสินค้าและบริการ(E-Commerce = Electronic Commerce)
เป็นการซื้อ - สินค้าและบริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต
8. การให้ความบันเทิง (Entertain) บนอินเทอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงหลายรูปแบบต่างๆ
เช่น รายการโทรทัศน์ เกม เพลง รายการวิทยุ เป็นต้น
เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด 24 ชั่วโมง




ที่มา : http://www.justusers.net/forum/index.php?topic=2858.0

9/14/2555

ความสำสำคัญของ ISO


ISO นั้นสำคัญอย่างไร


เป็นคำถามง่ายๆ ที่ได้ยินบ่อยในแวดวงเพื่อนฝูงที่หัดถ่ายภาพ บ้างก็เข้าใจถูก บ้างก็เข้าใจผิด ISO มีไว้ทำอะไร? ผมขออธิบายแบบภาษาชาวบ้านว่า ISO เป็นมาตรฐานที่บอกความไวแสงของเซ็นเซอร์ของกล้องแปลความหมายตรงตัวกับคำว่า “ความไวแสง” เราจะพูดกันถึงการใช้งานสองลักษณะ นั่นคือเมื่อไหร่ที่ควรใช้ความไวแสงมาก และเมื่อไหร่ควรใช้ความไวแสงน้อย
กล้อง DSLR รุ่นใหม่ๆ สามารถปรับค่าความไวแสง ได้ตั้งแต่ ISO100 ถึง ISO3200 ตัวเลขน้อยหมายถึงค่าความไวแสงน้อย ตัวเลขมากหมายถึงค่าความไวแสงมาก ส่วนกล้องดิจิตอลคอมแพค ตอนนี้ก็เร่ง ISO ได้สูงแล้วเช่นกัน แต่ในการใช้งานจริงกล้องดิจิตอลคอมแพคเปิด ISO สูงกว่า ISO400 แล้วจะมีเม็ดเกร็นเป็นจุดแดงๆ ขึ้นมากเกินไป ด้วยข้อจำกัดของเซ็นเซอร์ที่ใช้ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า DSLR ประสิทธิภาพในการประมวลค่าแสงที่แม่นยำน้อยกว่า DSLR (ในขณะเร่ง ISO สูง)
ตัวเลขความไวแสง เช่น ISO100, ISO200, ISO320, ISO400 จะเป็นตัวบ่งบอกความไวในการรับแสงของเซ็นเซอร์ ในการถ่ายภาพเมื่อเราเพิ่มความไวแสง ผลที่เห็นชัดเจนคือเราจะได้ความเร็วชัตเตอร์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ขณะถ่ายภาพในบ้าน ใช้โหมด A ปรับค่ารูรับแสงคงที่
  •  เมื่อใช้ ISO100 ถ่ายด้วยโหมด A เปิดรูรับแสงไว้ที่ f/4 กล้องปรับค่าให้เป็น 1/45 วินาที
  •  เมื่อเพิ่ม ISO800 ถ่ายด้วยโหมดเดียวกัน กล้องปรับความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/350 วินาที
  •  เมื่อเพิ่ม ISO1600 ถ่ายด้วยโหมดเดียวกัน กล้องปรับความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/750 วินาที
ผลของภาพที่ได้มีความสว่างเท่ากัน แต่ได้ความเร็วชัตเตอร์ที่แตกต่างกัน ฟังแล้วดูดีมากเลยใช่ไหมครับ ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มขึ้นก็หมายความว่าถ่ายภาพได้นิ่งและคมชัดยิ่งขึ้น ปัญหาเรื่องมือไม่นิ่งก็หายไปด้วย
แต่มีผลดีก็ย่อมต้องมีผลข้างเคียงตามมา .. การใช้ความไวแสงสูงขึ้น ก็จะทำให้กล้องรับสัญญาณแสงไม่พึงประสงค์เข้ามาด้วย ผลที่ได้ก็คือเม็ดเกร็นหยาบ หรือน๊อยส์ก็จะเกิดขึ้น
ใช้ ISO ต่ำเมื่อ
* ต้องการไฟล์งานคุณภาพสูง
* ต้องการควบคุมความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำลง เช่นถ่ายภาพน้ำตกให้นุ่ม จำเป็นต้องถ่ายที่ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ เราจึงต้องตั้งค่า ISO ให้น้อยที่สุด เช่น ISO100 เป็นต้น
* ถ่ายภาพในสภาพแสงดี ควรใช้ ISO ต่ำเป็นค่าเริ่มต้น
ใช้ ISO สูงเมื่อ
* ต้องการถ่ายภาพที่ความเร็วชัตเตอร์สูงขึ้น เช่น ต้องการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนที่ให้หยุดนิ่ง อาจต้องการความเร็วชัตเตอร์สูงถึง 1/1000 วินาที ซึ่งใช้การเร่งความไวแสงช่วยได้ เช่น ISO800 เป็นต้น (สภาพแสงดี)
* ต้องการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย โดยไม่ใช้แฟลซ และไม่ใช้ขาตั้งกล้อง เช่นถ่ายภาพในร่มเงา
* ถ่ายภาพคอนเสิร์ต มีการจัดแสง จัดไฟเวที หากต้องการเก็บแสงสีให้เหมือนบรรยากาศจริงๆ การเร่ง ISO และหลีกเลี่ยงการใช้แฟลซก็เป็นสิ่งจำเป็น

8/30/2555

ปรากฏการณ์บลูมูน


ดาราศาสตร์ ชวนดูปรากฏการณ์บลูมูน 31 ส.ค.


สดร. เผย 31 สิงหาคมนี้เกิดปรากฏการณ์บลูมูนหรือดวงจันทร์เต็มดวงครั้งที่สองของเดือน 

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ใน

วันที่ 31 สิงหาคม 2555 ที่จะถึงนี้ จะเกิดปรากฏการณ์บลูมูล (Blue Moon) หรือ ดวงจันทร์

จะเต็มดวงรอบที่สอง ในเดือนเดียวกัน ทั้งนี้ โดยปกติแล้วปรากฏการณ์ดวงจันทร์เต็มดวง

 (Full Moon) จะเกิดขึ้นเพียงเดือน ละ 1 ครั้งเท่านั้น หากเดือนไหนที่มีดวงจันทร์เต็มดวง

 2 ครั้ง จะเรียกดวงจันทร์เต็มดวงในครั้งที่สองว่า "บลูมูน" ในภาษา อังกฤษมีสำนวนว่า 

Once in a blue moon หมายถึงนานๆ จะเห็นสักครั้ง หรือเปรียบ ได้กับคำว่าRarely ใน

ภาษาอังกฤษ ปรากฏการณ์บลูมูนเกิดขึ้นเนื่องจากใน 1 ปี มี 12 เดือน และบาง เดือนมี

30 วัน บาง เดือนมี 31 วัน แต่ว่ารอบของดวงจันทร์มีเพียง 29.53059 วันต่อเดือน และ

ใน 1 ศตวรรษจะมีทั้งหมด 1,200 เดือน โดยจะเกิดดวงจันทร์เต็มดวงได้ถึง 1236.83 

ครั้ง แต่จะเป็นบลูมูน แค่ 36.83 ครั้ง เฉลี่ย แล้วประมาณ 2.72 ปีต่อครั้ง หรือประมาณ

3% ของฟูลมูน จะเป็นบลูมูน แต่ที่ พิเศษกว่านั้นคือจะมีการ เกิดบลูมูนปีละ 2 ครั้งใน

ทุก ๆ 19 ปี ซึ่งปีล่าสุดที่เกิดบลูมูน 2 ครั้งซ้อนในหนึ่งปี (Double Blue Moons) ก็คือปี 

พ.ศ. 2542 และถัดไปคือปี พ.ศ. 2561 สำหรับในวันที่ 31 สิงหาคม 2555 ผู้สังเกตจะ

เห็นดวง จันทร์เต็มดวง รอบที่สองในเดือนเดียวกันทางทิศ ตะวันออกเฉียงใต้เวลา 

ประมาณ 18.18 น. โดยดวง จันทร์เต็มดวงอย่างสมบูรณ์เวลาประมาณ 20.57 น. และ

ตกทางทิศตะวัน ตกเฉียงใต้ในเช้าของวันที่ 1 กันยายน 2555 เวลาประมาณ 05.37 น. 

ตามเวลา ประเทศไทย ทั้งนี้ ดวง จันทร์จะสว่างเต็มดวง เหมือนเช่นเคยโดยไม่เปลี่ยน

เป็นสีน้ำเงินแต่อย่างใด และ เรายังสามารถสังเกต เห็นปรากฏการณ์ Blue Moon ครั้ง

ต่อไปได้ในวันที่ 02 กรกฎาคม 2558

8/28/2555

นีลอาร์มสตอง


จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นีล แอลเดน อาร์มสตรอง
Neil Alden Armstrong

นีล อาร์มสตรอง ถ่ายรูปหน้าภาพดวงจันทร์
เกิด5 สิงหาคม พ.ศ. 2473
Flag of the United States รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา[1]
ตาย25 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Flag of the United States โคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา
สัญชาติอเมริกัน
ชื่ออื่นนีล อาร์มสตรอง
รางวัลPresidential Medal of Freedom Congressional Space Medal of Honor
ลายมือชื่อ
นีล แอลเดน อาร์มสตรอง (อังกฤษNeil Alden Armstrong5 สิงหาคม พ.ศ. 2473 — 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555) เป็นนักบินอวกาศชาวอเมริกัน และเป็นมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์คนแรกของโลก
อาร์มสตรองเกิดที่รัฐโอไฮโอ จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย และเป็นนักบินทดสอบให้กับองค์การนาซามาก่อน เขาได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศเมื่อปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) และปฏิบัติภารกิจหลายภารกิจในโครงการเจมินีและโครงการอะพอลโล
พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) เขาเป็นผู้บัญชาการของโครงการโครงการอะพอลโล 11 ซึ่งมีเป้าหมายนำยานไปจอดบนดวงจันทร์ โดยสมาชิกในทีมคือ เอ็ดวิน อัลดริน และไมเคิล คอลลินส์
เขากล่าวประโยคนี้เมื่อเหยียบลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์
Cquote1.svg
That's one small step for [a] man, one giant leap for mankind.
นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ
Cquote2.svg
วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555 อาร์มสตอร์งเสียชีวิตใน ซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ[2] ขณะอายุได้ 82 ปี เนื่องด้วยภาวะแทรกซ้อนจากหลอดเลือดหัวใจถูกปิดกั้น

8/23/2555

ฮาดีพี่ธัมม์ขำดีพี่จอบส์


คนข้างสนาม
เล่าให้อ่าน วิพากษ์ วิจารณ์ เสนอแนะ ได้เรื่องบ้าง ไม่ได้เรื่องบ้าง ตามสะดวก
Permalink : http://www.oknation.net/blog/attawut08
วันพุธ ที่ 22 สิงหาคม 2555
Posted by หมูสนาม , ผู้อ่าน : 2410 , 07:12:55 น.
หมวด : การศึกษา 

 พิมพ์หน้านี้ 
  โหวต 3 คน

ตามธรรมเนียมบ้านผม เมื่อถึงเทศกาล ตรุษจีน สารทจีน เช็งเม้ง
ผมต้องเผากระดาษเงิน กระดาษทอง ข้าวของเครื่องใช้ส่งไปให้อาม่าของผมใช้
บนสวรรค์ทุกปี

ในบรรดาเครื่องใช้เหล่านี้จะมีโทรศัพท์มือถือรวมอยู่ด้วย

มาระยะหลังโทรศัพท์ที่ส่งไปจะเป็นพวก iPod  iPad  iPhone

จนอาม่าผมต้องมาเข้าฝันบ่นให้ผมฟังทุกทีว่า

พวกลื้อส่งของพวกนี้มาทำไม อาม่าใช้ไม่เป็น

ไปหารุ่นที่ปุ่มกดใหญ่ๆ ฟังชั่นน้อยๆส่งมาให้บ้างซิ

ส่งรุ่นที่อาม่าเคยใช้ก่อนตายก็ได้อาม่าชอบ...........

แต่ขอโทษ......โทรศัพท์รุ่นที่อาม่าผมอยากได้ไปใช้บนสวรรค์

ผมหาจนทั่วแล้วไม่มีร้านกระดาษไหว้เจ้าร้านไหนทำขายเลยสักร้านเดียว

ผมเลยมั่วนิ่มส่ง iPhone ไปให้ใช้เหมือนเดิม

แล้วก็โดนบ่นว่าต้องโยนทิ้งเหมือนเดิมทุกปีเพราะใช้ไม่เป็น

มาปีนี้มีเรื่องแปลก ผมได้รับ e-mail ฉบับหนึ่งจากอาม่าของผม เขียนมาสั้นๆว่า

สารทจีนที่จะถึงในปีนี้ ส่ง iPhone iPad รุ่นใหม่ๆมาให้อาม่าใช้ด้วย

อาสตีฟ จ็อบส์  อีมาเปิดคอร์สสอนใช้ IPhone  Ipad บนสวรรค์

อาม่าไปลงทะเบียนเรียนตรงกับอีหลายครั้งแล้ว

โทรศัพท์ของอีดีนา ถ่ายรูป แล้ว ส่ง e-mail ได้ด้วย 5555 


หมายเหตุ จขบ.

คำถามประเภทตายแล้วไปไหน จัดเป็นอัพยากตปัญหา 

คือคำถามที่พระศาสดาไม่ทรงพยากรณ์(ไม่ตอบชัดไปทางใดทางหนึ่ง)

เพราะคนมักง่ายๆ คนตอบส่งเดช หรือใครๆที่นึกสนุกอยากตอบ หรือคนอยากได้เงินบริจาคก็ตอบได้

คนฟังที่ฟังแล้วเชื่อเลยก็แล้วไป 

คนที่ฟังแล้วไม่เชื่อต่อให้เถียงกันอีก 5000ปี ก็ไม่มีข้อยุติ

อยากบอกคนที่ฟังแล้วเชื่อเลยไว้หน่อยจะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ

เตรียมเงินเอาไว้บริจาคเยอะๆ จะได้ไปอยู่ใกล้ๆบ้านสตีฟ จ็อบส์ 

ธัมมชโย สตีฟจอบส์

 พูดแบบที่ ธัมมชโยพูดถึง สตีฟ จอบส์ นั้น ใคร ๆ มันก็พูดได้ แต่หากพระเป็นผู้พูด ถ้าไม่จริง ผู้พูดก็กลายเป็นพระที่เลวทรามvote   ติดต่อทีมงาน
  ศาสนาพุทธ และบุคลากรทางพุทธศานานั้น ได้รับเครดิตสูงมากในสังคมไทย  ดังนั้น เวลาพระสงฆ์พูดอะไรออกมา  คนที่เคารพนับถือพระรูปนั้น ก็จะเชื่อทันที ..... ไม่เคยสนใจ ไม่เคยเอะใจว่า พระนั่นจะโกหก หรือไม่

 และที่คัญ ก็คือ คนส่วนใหญ่ ไม่รู้หรอกว่า.... การที่พระพูดแบบนั้น นั้น......สุ่มเสี่ยงต่อการกลายเป็น "พระที่เลวทราม ต่ำช้าที่สุด"  ในสังคมพระสงฆ์

  ตามหัวข้อกระทู้ ที่ผมตั้งไว้นั้น หมายถึงว่า

 ๑. แม้เด็ก 7 ขวบ ก็สามารถพูดแบบที่พระธัมชโยพูด แล้วได้รับการเชื่อถือมาก ก็เป็นไปได้  ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ฟังนั้น มีความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนามากน้อยแค่ไหน...ดูอย่างกรณี หมอเด็ก หมอน้อย หมอยาผีบอกต่าง ๆ ฯลฯ  ในภูมิภาค ชนบทห่างไกล ของไทย ที่ปรากฎให้เห็นออกจะบ่อย ๆ  คนก็เชื่อ  ในอิทธิฤทธิ์ เป็นพันเป็นหมื่น ก็เคยมี...คนไทยพร้อมที่จะเชื่อสารพัด ความเชื่ออยู่แล้วครับ

 ๒. หากอดีตเณรแอ อดีตพระยันตระ หรืออดีตสมีโล้นต่าง ๆ   สารพัดสมี พวกนั้น ที่เคยย่ำยีสังคมพุทธ  ออกมาพูดแบบที่ธัมชโยพูด  ก็แน่นอนครับ ย่อมมีคนเชื่อจำนวนหนึ่งเหมือนกัน

 ๓. หากพวกสแกนกรรม หรือพวกจิตสัมผัส เพ้อ ๆ เจ้อ ๆ ออกมาพูด ก็แน่นอนครับ จะมีสาวกโง่ ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เชื่อถือเหมือนกัน

 ๔. แน่นอนว่า หากใครอยากจะทดลองอะไรบางอย่าง ในสังคมไทย โดยหาคนผอม ๆ (แก่ ๆ หน่อย) จับมาโกนหัว ห่มเหลือง อบรมพิเศษ สักสองสามวัน เรื่องศัพท์แสง ภาษาต่าง ๆ  แล้วให้ทำทีเป็นว่า เดินธุดงค์ ออกมาจากป่า  ..

    เริ่มเล่าเรื่องพวกพยานาค  คนธรรพ์ ผีขโมด เปรตลิ้นห้อย ฯลฯ ซะก่อน  จนคนฟังเคลิ้ม  จากนั้น ก็เริ่มพยากรณ์ ภพภูมิ ของสตีฟ จอบส์ แบบที่ธัมชโย แกนั่งหลับตาพูดมั่ง  ก็รับรองว่า คนไทยจำนวนมาก ก็จะเชื่อเหมือนกัน

  (ที่จริง ธัมชโย แกไม่ได้หลับตาพูดตลอดหรอกนะ  สายตาแก หลุกหลิก ๆ มาก  ไม่มีแววของผู้สำรวมเลยด้วยซ้ำ...  เมื่อก่อน ถึงต้องสวมแว่นตาดำ เพื่อหลบสายตา ที่เหลือบ ๆ หลุก ๆ หลิก ๆ เหมือนขโมย แบบนั้น)

    ก็สรุปว่า ใคร ๆ ก็พูดได้ ในเรื่องแบบนี้  พูดไปเหอะ คนเชื่อมากบ้าง น้อยบ้าง เพราะเรื่องแบบนี้ พิสูจน์กันไม่ได้อยู่แล้ว...เพราะหากใครอยากจะพิสูจน์  ก็ต้องแลก ด้วยการ   "ต้องตาย"  ไปพิสูจน์ ด้วยตนเอง

              ใครอยากไปพิสูจน์บ้าง.....?  ขอเสียงหน่อย ๆ


ที่มา : http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12551195/Y12551195.html

8/21/2555

เรื่องค่าของ Resolution Photoshop

   รู้จักกับค่ความละเอียดของภาพ  (Resolution)
    Resolution คือ ค่าความละเอียดของภาพ ๆ หนึ่งซี่งกำหนดเป็นจำนวนเม็ดสี (pixels) ต่อหนึ่งหน่วยความยาวของภาพ ตัวอย่างเช่น หากภาพนั้นมีค่า Resolution = 150 pixels/inches แสดงว่าในพื้นที่ 1 ตารางนิ้วของภาพนั้นประกอบไปด้วยเม็ดสีจำนวน 150 สี (Pixels) เป็นต้น 
 ภาพที่มีความละเอียด Resolution ต่ำ
    (มีจำนวนเม็ดสีน้อย)
   ภาพที่มีความละเอียด Resolution สูง
(มีจำนวนเม็ดสีมากกว่าในขณะที่มีพื้นที่เท่ากัน)


ทำไมเราต้องกำหนดค่า Resolution
       
ในการทำงานนั้นจะต้องอ้างอิงถึงค่า      อยู่เสมอเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับการใช้งานประเภทต่าง ๆ นอกจากนั้นยังเกี่ยวข้องกับขนาดไฟล์งานอีกด้วย เพราะงานที่มีค่า   Resolution      สูงก็จะมีขนาดของไฟล์ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในการทำงาน เช่น ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณประมวณผลช้าลงในกรณีที่สเปคเครื่องไม่สูงนัก ซึ่งหน่วยของ  Resolution ที่ใช้กันอยู่   2 แบบคือ

          pixels/inch - จำนวนหรือปริมาณของเม็ดสี   ในพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว
          pixels/cm   - จำนวนหรือปริมาณของเม็ดสี   ในพื้นที่ 1 ตารางเซ็นติเมตร
          ค่า    Resolution ที่เรานิยมใช้คือ  จำนวนพิเซลต่อนิ้ว หรือ  pixels/inch  ( ppi )  นั่นเอง

  ภาพขนาด  1024x768  Resolution = 300 ppi
       ขนาดไฟล์ 2.87M เมื่อขยาย 200 เท่า
  ภาพขนาด  1024x768  Resolution = 72 ppi
       ขนาดไฟล์ 169 k เมื่อขยาย 200 เท่า
 นอกจากภาพที่มีค่า Resolution สูงจะใช้คววามคมชัดกว่าแล้ว ขนาดไฟล์งานก็จะใหญ่กว่าด้วย


  กำหนดค่า   Resolution  อย่างไรดี       ในการใช้งานทั่วๆ ไปเรามักกำหนดความละเอียดของงานหรือค่า Resolution อยู่ที่ 100-1150 ppi (pixels/inch) แต่สำหรับการทำงานเกี่วกับเว็บไซค์นั้นเราจำเป็นต้องใช้งานที่มีความละเอียดน้อยเพื่อให้มีการแสดงผลที่รวดเร็ว จึงมักใช้ค่า Resolution = 72 ppi
  
         สำหรับการออกแบบสิ่งพิมพ์เรามักจะกำหนหดค่า Resolution อยู่ที่ 300-350 ppi เพราะต้องการความคมชัดในการแสดงผลสูง เช่น งานออกแบบสิ่งพิมพ์ งานนิตรสาร โปสเตอร์ขนาดใหญ่ และสมุดภาพเป็นต้น


การตั้งค่าของ Resolution ให้ไปที่   Image - Image size


8/18/2555

ถ่ายรูปด้วยโหมด P A S M


บทความถ่ายภ
บทความถ่ายภาพ
โหมด Auto P A S M ของกล้อง แตกต่างกันอย่างไร
โหมดถ่ายภาพของกล้องนั้น หลายๆรุ่นอาจจะมีไม่เหมือนกัน แล้วแต่ลูกเล่นของแต่ละค่าย แต่ที่มีอยู่แบบมาตรฐานๆ ทั่วๆไปก็มี Auto, P, A, S, M ทั้งหมด 5 โหมดนี่หละครับ ที่ใช้กันบ่อยที่สุด

เรามาดูกันดีกว่าว่าแต่ละโหมดมีหน้าที่อย่างไรกันบ้าง

Auto : ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Auto ก็คือการทำงานของกล้องแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ท่านสามารถถ่ายได้อย่างรวดเร็ว กด "ฉับ" เดียวได้รูปเลยครับ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยภาพที่อาจจะไม่ค่อยดีเท่าที่กล้องควรจะทำได้ ถ้าเราลองถ่ายในสภาพแสงที่น้อยๆ มีความแปรปรวนของสภาพแสงมากหน่อย การใช้โหมด Auto อาจไม่ใช่คำตอบครับ

P : ก็คือ Program โหมดนี้ก็คือโหมด Auto แปลงร่างมานั่นเอง ซึ่งการทำงานโหมดนี้ กล้องจะคำนวนรูรับแสงและความไวชัตเตอร์ ให้โดยอัตโนมัติ แต่เราสามารถกำหนด ISO และการชดเชยแสงได้ โหมดนี้เหมาะสำหรับคนที่พอควบคุมกล้องได้บ้าง ถ่ายสนุกดีครับ แต่ก็ยังไม่สามารถรีดประสิทธิภาพของกล้องได้ไม่เต็มที่เช่นเดียวกับโหมด Auto

A, AV : ก็คือ Aperture Priority เป็นโหมดที่เรากำหนดรูรับแสงเอง โดยกล้องจะคำนวณความไวชัตเตอร์ให้โดยอัตโนมัติ เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล หรือภาพอะไรก็ตาม ที่ต้องการกำหนดรูรับแสงไว้ค่าใดค่าหนึ่งเสมอ แต่มีข้อควรระวังคือ เราต้องคอยดูความไวชัตเตอร์ไว้เสมอ เพราะถ้าไม่พอภาพก็อาจจะเบลอ เสียได้ครับ ทาแก้ก็คือ ดันISO เพิ่มขึ้นครับ เราจะได้ความไวชัตเตอร์ที่มากขึ้น

S : ก็คือ Shutter Priority คือโหมดที่เรากำหนดความไวชัตเตอร์เอง โดยกล้องจำคำนวณรูรับแสงให้โดยอัตโนมัติ เหมาะกับการถ่ายแบบ แพนกล้อง ถ่ายภาพAction ภาพกีฬา หรือภาพใดๆที่เราต้องการหยุดการเคลื่อนไหวของแบบเอาไว้ แต่ระวังภาพมืดนะครับ ถ้าหากเราปรับความไวชัตเตอร์มากไป แต่ลืมดูไปว่ารูรับแสงกว้างพอสำหรับสภาพแสงขณะนั้นหรือไม่ ทางแก้ก็คือ ดันISO ช่วยอีกแล้วครับ ^ ^

M : Manual คือโหมดที่เราควบคุมกล้องเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูรับแสง หรือความเร็วชัตเตอร์ เป็นโหมดที่ทำให้เราสามารถสร้างสรรค์ภาพของเราได้อย่างเต็มที่ครับ อาจจะช้าสำหรับการปรับตั้งค่าก่อนถ่าย ทำให้ไม่เหมาะกับการถ่ายภาพที่ต้องเร่งรีบซักเท่าไหร่ เว้นแต่ใครที่ปรับเก่งๆ ไวๆ วัดแสงแม่นๆ ก็ทำให้กล้องสามารถ สร้างภาพถ่าย ที่ดีที่สุดออกมาได้ครับ

สรุปแล้ว การถ่ายภาพ ไม่ว่าจะโหมดใดก็แล้วแต่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับ มุมมอง และก็ความสร้างสรรค์ของคนถ่ายภาพครับ แล้วก็ไม่จำเป็นตายตัวว่าจะต้องใช้โหมดไหนโหมดนั้นอย่างเดียว เราควรจะใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ฺมากกว่าครับ อย่างเช่นผมจะถ่ายด้วยโหมด A เป็นหลักครับ, S เอาไว้ถ่ายภาพกีฬา แอคชั่น, M เอาไว้ถ่าย ภาพที่แปลกตาออกไป เช่นถ่ายภาพแสงไฟถนนกลางคืน น้ำตกที่นุ่มนวล เป็นต้นครับ แต่ถ้าเมื่อไหร่ต้องใช้แฟลชร่วมในการถ่ายภาพ ผมจะ้ใช้แต่โหมด M เท่านั้นครับ ยิ่งเ้ป็นกลางคืนด้วยแล้ว โหมด M ดูจะเป็นโหมดที่ตอบโจทย์ผมได้ดีทีเดียวครับ


8/17/2555

ความหมาย ชัดตื้น ชัดลึก


ชัดตื้น ชัดลึก

ระยะชัดลึก Dept of Field
         การเริ่มต้นถ่ายภาพจริงจังสำหรับมือใหม่ นอกจากการฝึกปรับความชัดแม่นยำ และถูกตำแหน่งแล้ว ยังต้องเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการควบคุมระยะชัดลึกของภาพ ซึ่งบ่อยครั้งที่ช่างภาพมืออาชีพที่มีประสบการณ์ยังต้องตกม้าตายกับเรื่องนี้ สาเหตุมาจากการใช้กล้องถ่ายภาพที่มีระบบอัติโนมัติมากมาย ทำให้ละเลยที่จะเรียนรู้พื้นฐานการถ่ายภาพที่สำคัญ เช่นการควบคุมระยะชัดลึก ส่งผลให้ภาพที่ได้ขาดความสมบูรณ์ไปอย่างน่าเสียดาย
ระยะชัดลึก( Depth of field) คืออะไร

       ระยะชัดลึก บางครั้งก็เรียกว่าความชัดลึก คือควมชัดด้านหน้าและด้านหลังของตำแหน่งที่เราปรับความชัด เช่นหากถ่ายภาพบุคคลเต็มหน้าและปรับความชัดที่ดวงตา ในทางทฤษฎีภาพจะชัดเฉพาะที่ระนาบของดวงตาเท่านั้น (ไม่สามารถปรับความชัดหลายๆระนาบได้ เช่น ไม่สามารถปรับความชัดที่ 3,4 หรือ 5 เมตรในภาพเดียวกันได้ตอ้งปรับความชัดที่ระยะใดระยะหนึ่งเท่านั้น) ลำแสงจากวัตถุที่เราปรับโฟกัสให้ชัดจะไปตัดกับจุดระนาบฟิล์มพอดี แต่ความชัดจะบางเหมือนแผ่นกระดาษและอยู่ระนาบเดียวกับระนาบเซ็นเซอร์ สำหรับกล้องถ่ายภาพปกติ(ยกเว้นกล้องที่สามารถปรับมุมของระนาบเลนส์และระนาบฟิล์มได้ เช่นกล้องวิว หรือกล้องบางประเภทเท่านั้น ที่สามารถบิดระนาบความชัดไปมาได้) ทำให้ส่วนที่เป็นแก้ม ใบหู ฉากหลังและฉากหน้าเบลอไป เพราะลำแสงของภาพจากส่วนที่ไม่ใช่ความชัดนี้จะไม่ตัดกันเป็นจุด แต่จะตัดกันเป็นวงกลมขนาดใหญ่แทน ทำให้ภาพนอกระยะตำแหน่งปรับความชัดเบลอไป เราเรียกจุดและวงกลมที่เกิดจากลำแสงไปตัดกันที่ระนาบฟิล์มนี้ว่า Circle of confusion

    ในทางปฎิบัติเราสามารถควบคุมความชัดของภาพให้เพิ่มขึ้นจากระนาบความชัดได้ โดยการลดขนาดลำแสงที่ผ่านเลนส์ไปยังฟิล์มมีขนาดเล็กลง นั่นคือการลดขนาดรูรับแสงของเลนส์ให้เล็กลง ยิ่งหรี่ขนาดรูรับแสงเพิ่มขึ้นเท่าไร จะทำให้วงกลมนี้เล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งฟิล์มและสายตาไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่า ลำแสงตัดกันเป็นจุดหรือวงกลมทำให้ภาพเกิดความชัดขึ้นมาได้ นั่นคือ การเกิดระยะชัดทางด้านหน้าและด้านหลังระนาบที่ถูกปรับให้ชัด หรือเป็นการเกิด Depth of field นั่นเอง

     ขนาดของ Circle of confusion ใหญ่ที่สุดซึ่งกลายเป็นจุดอันจะทำให้ภาพเกิดความชัดขึ้นมา เราเรียกว่า Permissible circle of confusion ซึ่งขนาดของวงกลมดังกล่าวนี้ จะมีการกำหนดไม่เท่ากันในผู้ผลิตเลนส์แต่ละราย เพราะขนาดของ circle of confusion ขึ้นกับระยะที่มองภาพอัตราขยายภาพ ความแตกต่างของสี

หรือแสงระหว่างฉากหน้ากับฉากหลัง
     แสงสว่างที่ส่องมายังภาพ รวมไปถึงสายตาของผู้มองภาพด้วย เช่น ถ้าเรามองภาพจากระยะไกล เราจะแยกภาพชัดกับไม่ชัดยากกว่าการมองภาพใกล้ๆ และการขยายภาพขนาดเล็กกับขนาดใหญ่มากๆ ก็จะแสดงความชัดกับไม่ชัดของภาพออกมาได้มากกว่า แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ดูภาพส่วนใหญ่จะมองภาพด้วยระยะห่างประมาณ เส้นทแยงมุมของภาพอันเป้นเรื่องของมุมรับภาพของสายตา หากภาพมีขนาดเล็กก็จะดูภาพในระยะใกล้ ภาพขนาดใหญ่ก็จะดูภาพจากระยะไกล ดังนั้น เราจึงถือว่าอัตราขยายภาพและระยะการมองไม่มีผลต่อขนาดของ   Circle of confusion ในทางปฎิบัติ

    โดยมาตรฐานแล้ว จะกำหนดระยะการมองภาพไว้ที่ 10 นิ้ว ด้วยปัจจัยหลายประการนี้เอง ทำให้เลนส์ต่างยี่ห้อที่มีทางยาวโฟกัสเท่ากัน ขนาดรูรับแสงเท่ากัน แต่มีตัวเลขความชัดลึกที่กระบอกเลนส์ไม่เท่ากัน แต่ภาพที่ถ่ายออกมานั้นจะมีความชัดลึกเท่ากัน และที่น่าแปลกใจคือ ไม่ได้มีข้อกำหนดร่วมกับเลนส์ของผู้ผลิตแต่ละรายว่าควรจะใช้ ขนาดของ Circle of confusion นี้เท่าไร  ตามมาตรฐานทั่วไปจะกำหนดที่ขนาด 1/1000 นิ้ว หรือ 0.003937 มม. แต่ในการผลิตจริง ของผู้ผลิตเลนส์จะมีค่าตั้งแต่ 1/70 ถึง 1/200 นิ้ว


ชัดลึกและชัดตื้น

      ระยะชัดทางด้านหน้าของตำแหน่งที่ปรับความชัด เราจะเรียกว่า ชัดตื้น ส่วนระยะชัดด้านหลังของระนาบความชัด เราเรียกว่าชัดลึก ระยะชัดจากด้านหลังสุดเราเรียกว่า ช่วงความชัด เช่นเลนส์ขนาด 50 มม. ปรับความชัดที่ระยะ 3 เมตร ปรับขนาดรูรับแสง f/16 ระยะชัดด้านหน้าอยู่ที่ 2 เมตร ระยะชัดด้านหลังอยู่ที่ 10 เมตร ถึง 10 เมตร หรือมีช่วงระยะชัด 8 เมตร เป็นต้น

    กลอ้งถ่ายภาพ 35 มม. DLR หรือกลอ้งดิจิตอล SLR ในปัจจุบันเป็นระบบ Auto Diaphragm ซึ่งเลนส์จะเปิดรูรับแสงกว้างสุดเอาไว้ตลอดเวลา  เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับความชัด (ปรับโฟกัส) และช่องมองภาพได้ง่ายขึ้น  ดังนั้นภาพที่ปรากฏในช่องมองภาพที่มีระยะชัดลึกน้อยที่สุดของเลนส์ที่กำลัง ใช้งานอยู่ เมื่อชัตเตอร์บันทึกภาพ ระบบควบคุมของกล้องจะทำให้รูรับแสงหรี่ลงมาตามขนาดรูรับแสงจริงที่เราตั้งเอาไว้จากนั้นชัตเตอร์จึงทำงาน หลังจากที่ชัตเตอร์ปิด รูรับแสงก็จะเปิดกว้างสุดเหมือนเดิม หากถ่ายภาพโดยใช้รูรับแสงแคบ เช่น f/11 คุณก็จะได้ภาพถ่ายที่มีระยะชัดลึกมากกว่าที่มองเห็นในช่องมองภาพ

    ชัดลึกและชัดตื้นจะมีความหมายในอีกกรณีหนึ่ง คือการชัดและเบลอของฉากหน้าและฉากหลัง ถ้าฉากหน้าและฉากหลังเบลอมากเราเรียกว่า ชัดตื้น หากชัดมากเราจะเรียกว่าชัดตื้น แต่เนื่องจากความชัดลึกชัดตื้นในกรณีนี้เป็นความรู้สึกของผู้ดูภาพซึ่งแต่ละบุคคลจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
การควบคุมความชัดลึก
       คุณสามารถควบคุมความชัดลึกของภาพได้ด้วยตัวเอง ความชัดลึกของภาพกำหนดโดยขนาดของ Circle of confusion ซึ่งถ้าเราให้เลนส์แต่ละยี่ห้อมีขนาด  Circle of confusion  เท่ากันแล้ว เราจะรู้ได้ว่าเลนส์ทุกยี่ห้อ ไม่ว่าจะแพงหรือถูกเพียงใด หากมีทางยาวโฟกัสเท่ากันและขนาดรูรับแสงเท่ากัน จะมีระยะชัดลึกเท่ากันด้วยอัตราการขยายภาพไม่มีผลต่อความชัดลึกของภาพดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้และเราสามารถควบคุมความชัดลึกของภาพได้ 3 วิธี
 
การควบคุมขนาดรูรับแสง (F-Number)
    การลดขนาดรูรับแสงลง จะทำให้ระยะชัดลึกด้านหน้าและด้านหลังจุดปรับความชัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าลืมว่าความชัดที่เห็นในช่องมองภาพนั้นเป็นความชัดที่ขนาดรูรับแสงกว้างสุด หากต้องการตรวจสอบว่าค่ารูรับแสงที่ใช้จะทำให้ระยะชัดลึกมากน้อยเพียงใด สามารถทำได้โดยการกดปุ่มเช็กชัดลึกที่ตัวกลอ้ง (ถ้ามี)

 ระยะปรับความชัด ( Focusing distance)
    ระยะชัดลึกจะแปรผันตามระยะชัด การปรับความชัดใกล้ขึ้นจะทำให้ภาพมีความชัดลึกลดลง พูดง่ายๆคือ ยุ่งถ่ายภาพใกล้มากเท่าใด ภาพก็จะมีระยะชัดน้อยลงตามลำดับ

ทางยาวโฟกัสของเลนส์ ( Focal Length)
    เมื่อถ่ายภาพที่ระยะห่างและขนาดรูรับแสงเดียวกัน เลนส์เทเลโฟโต้จะให้ภาพที่มีระยะชัดลึกน้อยกว่าเลนส์มุมกว้าง ยิ่งทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้นเท่าไร ช่วงระยะชัดลึกก็จะน้อยลงตามลำดับ 

บทสรุป

       เมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับระยะชัดลึกแล้ว คุณสามารถนำความรู้นี้ ไปใช้ในการควบคุมระยะชัดลึกของภาพได้ และเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น จะช่วยให้การตัดสินใจในเรื่องของ การควบคุมระยะชัดลึก เป็นไปอย่างรวดเร็ว เช่นเมื่อต้องการถ่ายภาพทิวทัศน์ให้คมชัดทั้งภาพ คุณต้องใช้เลนส์มุมกว้างที่มีคุณสมบัติชัดลึกมากกว่าเลนส์เทเล แล้วปรับรูรับแสงแคบเพื่อเพิ่มระยะชัด  แต่ถ้าตอ้งการถ่ายภาพให้ชัดตื้น เช่นถ่ายภาพบุคคลให้ฉากหลังเบลอ ตอ้งเลือกใช้เลนส์เทเลโฟโต้ เช่น  100 หรือ 200 mm. ถ่ายภาพโดยเปิดรูรับแสงกว้างสุดและเข้าไปถ่ายภาพใกล้ๆ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ภาพที่ชัดตื้นหรือมีฉากหลังเบลออย่างง่ายดาย
ขอบคุณบทความจากนิตรสาร
นิตรสาร SHUTTER PHOTOGRAPHY  
เเละขออนุญาตนำภาพของคุณ Photo by smoon มาเพื่อประกอบบทความด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ